โรคเบาจืดในสุนัข

โรคเบาจืดในสุนัข

บทนำ

โรคเบาจืดในสุนัข หรือ Diabetes insipidus (DI) สุนัขจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้น้อยเป็นอย่างมาก

แต่ถ้าสุนัขเกิดป่วยเป็นโรคนี้ขึ้นมาจะทำให้ร่างกายของสุนัขจะค่อยๆ เผาผลาญน้ำในร่างกายของสุนัขออกไปเรื่อยๆ จนทำให้สุนัขมีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะแห้งน้ำขึ้นมาได้

คุณสามารถสังเกตได้ว่าสุนัขของคุณเกิดป่วยเป็นโรคนี้ขึ้นมาหรือเปล่า โดยให้คุณสังเกตว่าในช่วงนี้สุนัขของคุณมีพฤติกรรมขับถ่ายปัสสาวะบ่อยจนผิดสังเกตหรือเปล่า

รวมถึงให้คุณดูว่าปัสสาวะที่สุนัขขับถ่ายออกมานั้น มีสีที่ใสเป็นอย่างมากหรือเปล่า ประกอบกับสุนัขของคุณมีอาการกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า

ถ้าสุนัขของคุณมีอาการเหล่านี้ นั้นแสดงว่าจะมีโอกาสสูงที่สุนัขของคุณอาจจะกำลังป่วยเป็นโรคเบาจืดอยู่ก็เป็นได้ได้

แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรรู้ไว้นั้นก็คือ โรคเบาจืดไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโรคเบาหวานเลย มันเป็นคนละโรคกัน

อาการของโรคเบาจืดในสุนัข

อาการต่างๆ เมื่อสุนัขป่วยเป็นโรคเบาจืด

ทางการแพทย์ได้แบ่งโรคเบาจืดของสุนัขออกมาได้ 2 ประเภทได้แก่

1.โรคบางจืดที่มีผลเกี่ยวข้องกับระบบประสาท

เมื่อสุนัขของคุณป่วยเป็นโรคเบาจืดชนิดนี้ มันจะส่งผลทำให้ร่างกายของสุนัขขาดฮอร์โมนวาโซเพลสซิน (vasopressin) จนเป็นเหตุทำให้มีความผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณศีรษะของสุนัขได้

2. โรคบางจืดที่มีผลเกี่ยวข้องกับไต

โรคบางจืดที่มีผลต่อระบบของไตนั้น จะส่งผลทำให้ร่างกายของสุนัขขาดฮอร์โมน antidiuretic (ADH) ขึ้นมา ซึ่งมันจะทำให้ไตของสุนัขมีความผิดปกติเกิดขึ้น

จนเป็นเหตุทำให้ร่างกายของสุนัขไม่สามารถกักเก็บน้ำให้อยู่ในร่างกายได้ มันจะทำให้ร่างกายของสุนัขจะค่อยๆ ขับน้ำออกมาเรื่อยๆ

หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ สุนัขของคุณจะมีอาการขับถ่ายปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา เพราะร่างกายของพวกมันไม่สามารถกักเก็บน้ำได้

และนอกจากนี้สุนัขยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยอย่างเช่น

  • สุนัขจะดื่มน้ำตลอดทั้งวัน
  • สุนัขจะขับถ่ายปัสสาวะออกมาตลอดทั้งวัน
  • เมื่อร่างกายของสุนัขเข้าสู่ภาวะขาดน้ำขึ้นมาแล้ว มันจะส่งผลทำให้สุนัขแทบจะไม่ขับถ่ายปัสสาวะออกมาเลย
  • สุนัขจะไม่สามารถกลั้นปัสสาวะของตัวเองได้เลย จึงเหตุทำให้สุนัขมีอาการขับถ่ายปัสสาวะเรี่ยราดไปเรื่อยไม่เป็นที่เป็นทาง
  • ขนของสุนัขจะทั้งหยาบและแห้งกระด้าง

สาเหตุที่ทำให้สุนัขป่วยเป็นโรคเบาจืด

สาเหตุที่ทำให้สุนัขป่วยเป็นโรคบางจืด

  • ร่างกายของสุนัขขาดฮอร์โมน antidiuretic
  • สุนัขป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมจากพ่อและแม่ของสุนัข
  • สุนัขได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรงอย่างเช่น การถูกรถชน จนร่างกายของสุนัขได้รับผลกระทบอย่างหนัก
  • สุนัขป่วยเป็นโรคมะเร็ง หรือมีเนื้องอกเกิดขึ้นตามร่างกายของสุนัข
  • ไตของสุนัขติดเชื้อ
  • สุนัขป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง
  • ในกรณีที่เป็นสุนัขตัวเมียอาจจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียเกิดขึ้นที่บริเวณมดลูกของสุนัขตัวนั้นได้

การวินิจฉัยจากทางสัตวแพทย์

  • ทางสัตวแพทย์จะทำการตรวจร่างกายของสุนัขอย่างเบื้องต้น พร้อมทั้งสอบถามถึงประวัติสุขภาพของสุนัขและอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา
  • ต่อจากนั้นทางสัตวแพทย์จะทำการตรวจเลือดกับตรวจปัสสาวะให้กับสุนัข เพื่อดูระดับฮอร์โมน antidiuretic ในร่างกายของสุนัข
  • ระดับฮอร์โมน antidiuretic ในเลือดของสุนัขจะเป็นตัวที่บ่งบอกได้ว่าสุนัขกำลังป่วยเป็นโรคเบาจืดอยู่หรือเปล่า
  • ต่อจากนั้นทางสัตวแพทย์ก็จะทำการตรวจด้วยวิธี Magnetic resonance imaging (MRI) ควบคู่กับวิธี computed tomography (CT) เพื่อดูว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเบาจืดชนิดไหนกันแน่น ระหว่างโรคเบาจืดที่เกิดจากสมอง หรือโรคเบาจืดที่เกิดจากไตกันแน่น
  • มาถึงขั้นตอนสุดท้ายทางสัตวแพทย์จะทำการทดสอบด้วยวิธี water deprivation test วิธีนี้จะช่วยให้ทางสัตวแพทย์ทราบได้ว่าร่างกายของสุนัขสูญเสียน้ำไปในปริมาณเท่าไหร่แล้ว สุนัขมีภาวะขาดน้ำขึ้นมาแล้วหรือยัง

วิธีรักษาโรคเบาจืดในสุนัข

วิธีรักษาจากทางสัตวแพทย์

  • ทางสัตวแพทย์จะทำการรักษาตามอาการที่ตรวจพบเจออย่างเช่น ถ้าตรวจพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเบาจืดจากระบบประสาท ก็จะทำการรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมน vasopressin เข้าไปในร่างกายของสุนัขเป็นต้น
  • ถ้าตรวจพบว่าสุนัขมีภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ก็จะทำการให้สารน้ำเข้าไปในร่างกายของสุนัขผ่านทางเส้นเลือด เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียออกไปจากร่างกายของสุนัข

วิธีดูแลสุนัขหลังได้รับการรักษา

ในช่วงที่สุนัขกำลังพักฟื้นตัวอยู่นั้น คุณต้องให้สุนัขของคุณทานน้ำอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สุนัขมีภาวะขาดน้ำขึ้นมาได้

รวมถึงคุณต้องคอยสังเกตอาการต่างๆ ของสุนัขอย่างใกล้ชิด ถ้าเกิดว่าอาการต่างๆ ของสุนัขยังไม่ดีขึ้นเลย ให้คุณรีบพาสุนัขของคุณกลับเข้าพบกับทางสัตวแพทย์โดยทันที