การติดเชื้อ Babesiosis ในสุนัข

การติดเชื้อ Babesiosis ในสุนัข

บทนำ

ช่องทางการติดเชื้อ Babesiosis ของสุนัขมีอยู่ 2 ช่องทางด้วยกันได้แก่

  1. สุนัขถูกเห็บที่มีเชื้อ Babesiosis อาศัยอยู่ในร่างกายกัดเอา
  2. สุนัขได้รับเลือดจากสุนัขที่ติดเชื้อ Babesiosis อยู่ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะเกิดกับ การที่สุนัขได้ไปกัดกับสุนัขตัวอื่นๆ ที่มีเชื้อ Babesiosis อาศัยอยู่ในร่างกาย อีกทั้งโรคนี้แม่สุนัขยังเป็นพาหะนำพาโรคนี้มาติดลูกสุนัขได้อีกด้วย ผ่านทางรกหรือครรภ์มารดา

ระยะการฟักตัวของเชื้อโรค

ระยะการฟักตัวของเชื้อ Babesiosis จะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ด้วยกัน โดยในช่วงแรกๆ ที่มีการติดเชื้อ สุนัขจะยังไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้คุณเห็นเลย

แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 3 – 4 เดือน เม็ดเลือดแดงของสุนัขค่อยๆ แตกตัวออกมา จนทำให้ฮีโมลโกลบินในเม็ดเลือดแดงของสุนัขเกิดหลุดลอยออกมา

จงส่งผลทำให้ลำตัวและดวงตาของสุนัขกลายเป็นสีเหลือง รวมถึงสุนัขจะเริ่มแสดงอาการต่างๆ ออกมาให้คุณเห็น

อาการต่างๆ ของโรค Babesiosis ในสุนัข

  • สุนัขจะมีอาการอ่อนแรง อ่อนเพลีย รวมถึงมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย
  • สุนัขจะมีอาการตัวร้อนเป็นไข้ขึ้นสูง
  • เหงือกของสุนัขจะซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • น้ำหนักตัวของสุนัขจะค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • ปัสสาวะกับอุจจาระของสุนัขจะมีสีเปลื่ยนไปจากสีปกติ
  • สุนัขจะมีอาการตาเหลืองและตัวเหลือง
  • ช่วงท้องของสุนัขจะมีอาการะบวมโต

สาเหตุที่ทำให้สุนัขป่วยเป็นโรคนี้

  • สุนัขถูกเห็บที่มีเชื้อ Babesiosis อาศัยอยู่ในร่างกายกัดเอา
  • สุนัขได้รับการถ่ายเลือดจากสุนัขที่มีเชื้อชนิดนี้อาศัยอยู่ในร่างกาย
  • การที่สุนัขของคุณได้ไปกัดกับสุนัขตัวอื่นๆ ที่มีเชื้อชนิดนี้อาศัยอยู่ในร่างกายจนทำให้เลือดของสุนัขตัวนั้น เข้าสู่ร่างกายสุนัขของคุณได้

การวินิจฉัยจากทางสัตวแพทย์

  • ทางสัตวแพทย์จะสอบถามถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุนัขของคุณว่า สุนัขของคุณมีอาการอะไรบ้าง ,สุนัขมีอาการเหล่านี้มานานแล้วหรือยัง ,สุนัขเคยป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับเห็บและหมัดหรือเปล่า ,สุนัขของคุณเคยไปกัดกับสุนัขจรจัดมาหรือเปล่า
  • ต่อมาทางสัตวแพทย์จะทำการตรวจเลือดกับตรวจปัสสาวะให้กับสุนัข เพื่อดูว่าภายในร่างกายของสุนัขมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง
  • ต่อมาทางสัตวแพทย์จะใช้วิธีการย้อนสีชนิดพิเศษกับเลือดของสุนัข เพื่อไว้ตรวจหาเชื้อผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ว่าสุนัขติดเชื้อจากเชื้อ Babesiosis อยู่หรือเปล่า
  • รวมถึงทางสัตวแพทย์จะทำการตรวจหาภูมิคุ้มกันของสุนัขว่า ภายในร่างกายของสุนัข ได้มีการผลิตแอนตี้ไวรัสสำหรับต่อสู้กับเชื้อ Babesiosis อยู่หรือเปล่า

การรักษาจากทางสัตวแพทย์

  • การรักษาโรคนี้ในสุนัข จะใช้วิธีการรักษาด้วยการให้สารน้ำ ควบคู่กับการถ่ายเลือดให้กับสุนัข
  • และเมื่ออาการต่างๆ ของสุนัขเริ่มดีขึ้นมาแล้ว ทางสัตวแพทย์จะใช้ยาสำหรับกำจัดเชื้อ Babesiosis โดยเฉพาะให้กับสุนัข  
  • ในกรณีที่อาการต่างๆ ไม่ได้รุนแรงมากนัก หลังจากสิ้นเสร็จขั้นตอนการรักษาทางสัตวแพทย์ก็จะให้สุนัขกลับมาพักฟื้นร่างกายต่อที่บ้านได้
  • แต่ในทางกลับกันถ้าสุนัขมีอาการป่วยอย่างรุนแรง ทางสัตวแพทย์จะให้สุนัขอยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อ เพื่อจะได้เฝ้าดูอาการต่างๆ ของสุนัขอย่างใกล้ชิด

ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • หลังจากที่รักษาจนอาการต่างๆ เริ่มดีขึ้นมาแล้ว ทางสัตวแพทย์จะทำการนัดให้สุนัขกลับเข้ามาพบอีกประมาณ 2 – 3 ครั้ง เพื่อดูว่าหลังจากที่รักษาไปแล้วอาการต่างๆ ของสุนัขดีขึ้นหรือไม่
  • ถ้าการรักษาผ่านไปได้ด้วยดี สุนัขจะหายดีเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือน
  • ในกรณีที่คุณเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว ให้คุณจับสุนัขตัวที่ป่วยอยู่ แยกเลี้ยงไว้ต่างหาก เพราะโรคนี้สุนัขสามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อไปสู่สุนัขตัวอื่นๆ ได้
  • รวมถึงให้คุณพาสุนัขตัวอื่นๆ ที่อยู่ในบ้านของคุณ ไปตรวจดูว่าสุนัขพวกนี้ได้รับเชื้อ Babesiosis ด้วยหรือไม่

วิธีป้องกันอาการติดเชื้อ Babesiosis ในสุนัข

วิธีป้องกันโรค Babesiosis ในสุนัข

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้สุนัขป่วยเป็นโรคนี้ก็คือ การถูกเห็บที่มีเชื้อโรคชนิดนี้อาศัยอยู่ในร่างกายกัดเอา ดังนั้นคุณต้องหาทางกำจัดเห็บเหล่านี้โดยการ

ให้คุณหมั่นทำความสะอาดบ้าน รวมถึงพื้นที่ที่สุนัขใช้พักอาศัยอยู่เป็นประจำ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่สุนัขชอบใช้อยู่เป็นประจำอย่างเช่น ของเล่น ,ที่นอนสุนัข เพียงเท่านี้ก็เป็นการป้องกันเห็บหมัดในสุนัขได้อย่างเบื้องต้นแล้ว

สิ่งต่อมาที่คุณต้องทำก็คือ ให้คุณใช้ยาหยอดกำจัดเห็บหมัดกับสุนัขของคุณอยู่เป็นประจำหรือประมาณ 3 – 4 เดือนต่อครั้ง หรือคุณอาจจะพาสุนัขของคุณไปฉีดวัคซีนป้องกันเห็บหมัดกับทางสัตวแพทย์ก็ได้เหมือนกัน เพียงเท่านี้ก็เป็นการป้องกันโรคเห็บหมัดในสุนัขไปได้เยอะเลย

แต่ในกรณีที่คุณไม่แน่นใจว่า ควรจะใช้ยาหยอดกำจัดเห็บหมัด หรือพาสุนัขของคุณไปฉีดวัคซีนป้องกันเห็บและหมัดในช่วงเวลาไหนดี คุณก็สามารถโทรไปขอคำแนะนำจากทางสัตวแพทย์ได้เหมือนกัน