บทนำ
บทความนี้จะมาแนะนำถึง 5 ปัจจัยที่ทำให้ขนของสุนัขหยาบกระด้าง พร้อมวิธีดูแลขนของสุนัขอย่างเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นสุนัขขนยาว ขนสั้น คุณควรดูแลอย่างไรบ้าง
ถ้าคุณผู้อ่านคนไหนกำลังสนใจเรื่องเหล่านี้อยู่ ก็สามารถมาตามอ่านกันต่อได้เลยครับ
5 ปัจจัยที่ทำให้ขนของสุนัขหยาบกระด้าง
1. พันธุกรรม
พันธุกรรม เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพขนของสุนัขโดยตรง ถ้าเกิดว่าพ่อและแม่ของสุนัขมีสภาพขนที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี ลูกสุนัขที่ออกมาก็จะมีสภาพขนที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีเหมือนกัน
แต่ในทางกลับกันถ้าพ่อแม่ของสุนัขมีขนที่หยาบกระด้าง ลูกสุนัขที่ออกมาก็มีขนที่หยาบกระด้างเหมือนกัน
2. ลักษณะการเลี้ยงดู
การเลี้ยงดูสุนัขก็มีผลต่อสุขภาพขนของสุนัขเหมือนกัน ถ้าคุณคอยดูแลขนของสุนัขดีๆ อย่างเช่น
- หมั่นแปรงขนให้กับสุนัขของตัวเองอยู่เป็นประจำ
- อาบน้ำให้สุนัขด้วยแชมพูสูตรบำรุงขนเดือนละ 1 – 2 ครั้ง
- ให้สุนัขทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่กับการออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ
ก็จะทำให้สุนัขตัวนั้นมีขนที่นุ่มลื่นและดูสวยงามอยู่เป็นประจำ แต่ในทางกลับกันถ้าคุณไม่ได้ดูแลอะไรสุนัขเลย ก็อาจจะทำให้สุนัขตัวนั้นมีขนที่แห้งและหยาบกระด้างได้เหมือนกัน
3. เรื่องของอาหารการกิน
เรื่องอาหารการกินนั้น เป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพขนของสุนัขโดยตรงเลย ถ้าสุนัขของคุณได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ก็จะทำให้สุนัขของคุณมีสุขภาพขนที่ดี และเงางามอยู่เสมอ
แต่ในทางกลับกันถ้าคุณให้สุนัขของคุณทานแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์อย่างเช่น พวกของทอด ของมัน รวมถึงขนมประเภทต่างๆ ก็อาจจะส่งผลทำให้สุนัขของคุณมีขนที่หยาบ และแห้งกรานขึ้นมาได้
4. เห็บและหมัด
ถ้าสุนัขของคุณมีเห็บและหมัดขึ้นมาอาศัยอยู่บนร่างกายเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้สุนัขของคุณมีขนที่หยาบ และแห้งกร้านขึ้นมาได้เหมือนกัน
5. อาการป่วยของสุนัข
ร่างกายของสุนัขจะดูดสารอาหารต่างๆ ได้ช้าลง เมื่อสุนัขป่วยเป็นโรคต่างๆ รวมถึงเมื่อสุนัขป่วยแล้วพวกมันจะมีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ มันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของสุนัข ทำให้ผิวหนังของสุนัขขาดความชุ่มชื่นและมีขนที่หยาบแห้งกร้านขึ้นมาได้
หลังจากที่เรารู้เรียนถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพขนของสุนัขไปแล้ว ต่อมาเรามาเรียนรู้วิธีดูแลขนของสุนัขแต่ละประเภทกันดีกว่า
วิธีดูแลสุนัขแต่ละสภาพขน
1. สุนัขสายพันธุ์ขนยาว
สุนัขสายพันธุ์ขนยาวจะมีโอกาสที่ขนพันกันจนกลายเป็นสังกะตังได้ง่ายกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น ดังนั้นถ้าคุณเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ขนยาวอยู่ คุณต้องหมั่นแปรงขนให้กับพวกมันอยู่เป็นประจำ
รวมถึงให้คุณดูว่ามีสิ่งสกปรกอะไรมาเกาะติดอยู่ตามขนของสุนัขหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็น เศษไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ ถ้ามีให้คุณรีบนำสิ่งเหล่านี้ออกจากขนของสุนัขโดยทันที
สำหรับสุนัขสายพันธุ์ขนยาวคุณควรอาบน้ำให้กับพวกมันมากกว่าปกติ หรือประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ด้วยแชมพูสูตรสำหรับสุนัขขนยาวโดยเฉพาะ
และหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ คุณควรเป่าขนของสุนัขให้แห้งสนิทก่อนที่จะปล่อยให้สุนัขของคุณออกไปวิ่งเล่นได้อย่างอิสระ
เพราะถ้าคุณไม่ยอมเป่าขนของสุนัขให้แห้ง ก็จะทำให้ขนเหล่านั้นจับตัวกันเป็นก้อน และและพันกันจนกลายเป็นสังกะตังขึ้นมาได้
2. สุนัขสายพันธุ์ขนยาวปานกลาง
สุนัขสายพันธุ์ที่มีขนยาวปานกลางอย่างเช่น
- สุนัขพูเดิ้ล
- สุนัขบางแก้ว
- สุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์
สุนัขสายพันธุ์เหล่านี้มักจะมีปัญหาขนพันกันจนกลายเป็นสังกะตัง ไม่แพ้ไปกว่าสุนัขสายพันธุ์ขนยาวเลย
ดังนั้นถ้าคุณเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์เหล่านี้อยู่ คุณควรหมั่นแปรงขนให้กับพวกมันอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะจุดซ่อนเร้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
- ตรงบริเวณขนรอบดวงตา
- ขนตรงบริเวณใต้ท้องของสุนัข
- รวมถึงขนตรงบริเวณใต้อุ้งเท้าของสุนัข
จุดซ่อนเร้นเหล่านี้จะเป็นจุดที่ขนพันกันได้ง่ายกว่าปกติ คุณจึงต้องคอยแปรงขนลงบนจุดซ่อนเร้นเหล่านี้อยู่เป็นประจำ
และหลังจากที่คุณแปรงขนเสร็จ ให้คุณลองเอามือของคุณไปลูบคลําตามส่วนต่างๆ บนร่างกายของสุนัขดูว่า ยังมีขนตรงจุดไหนที่ยังพันกันอยู่ ถ้ามีให้คุณนำหวีมาแปรงขนตรงบริเวณนั้น ให้คลายตัวออกมาโดยทันที
สำหรับการอาบน้ำให้กับสุนัขสายพันธุ์ขนยาวปานกลาง ก็จะเหมือนกับสุนัขสายพันธุ์ขนยาว ที่อาบน้ำให้กับสุนัขประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ด้วยแชมพูสูตรสำหรับถนอมผิว กับเป่าขนให้แห้งสนิท ก่อนที่จะปล่อยให้สุนัขออกไปวิ่งเล่นได้
3. สุนัขสายพันธุ์ขนสั้น
สุนัขสายพันธุ์ขนสั้นอย่างเช่น
- บีเกิล
- ชิวาวา
- เฟรนช์ บูลด็อก
- สุนัขสายพันธุ์ไทยหลังอาน
สำหรับสุนัขสายพันธุ์ขนสั้นนั้น คุณแทบไม่จำเป็นต้องไปดูแลขนอะไรให้กับพวกมันเลย เพราะสุนัขสายพันธุ์เหล่านี้จะมีปัญหาในเรื่องของขนพันกันจนกลายเป็นสังกะตังได้ยากมาก
สำหรับวิธีการดูแลขนของสุนัขสายพันธุ์ขนสั้นนั้น คุณสามารถทำได้อย่างง่ายๆ โดยการใช้แปรงขนที่มีหมุดอยู่ด้ามปลาย คอยแปรงขนให้กับสุนัขของคุณอยู่เป็นประจำ
เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นให้ต่อมไขมันที่โคนขนของสุนัขผลิตน้ำมันออกมา ซึ่งน้ำมันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้ขนของสุนัขเงางามอยู่เสมอ อีกทั้งยังช่วยขรัดรังแค และสิ่งสกปรกต่างๆ ให้ออกไปจากผิวหนังของสุนัขอีกด้วย
สำหรับการอาบน้ำให้กับสุนัขสายพันธุ์ขนสั้นคุณแค่อาบน้ำให้พวกมันเดือนละ 1 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่คุณต้องใส่ใจก็คือ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ
ให้คุณหาผ้าชุบน้ำมาเช็คตามผิวหนังที่มีรอยย่นอยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขของคุณมีกลิ่นตัวขึ้นมาได้ รวมถึงให้คุณคอยเช็คคราบน้ำตาที่ติดอยู่ตามขนข้างๆ ตาของสุนัขด้วย